ยินดีต้อนรับสู่พื้นที่ธรรมทาน

ยินดีต้อนรับสู่พื้นที่ทางธรรม

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(353) สุบินนิมิต ปริศนาธรรม บุรุษนักภาวนาพบคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร


🌸 สุบินนิมิต ปริศนาธรรม 🌸
🌼  บุรุษนักภาวนา  🌼
🌼 พบคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร 🌼

      🔸 ท่านทั้งหลาย มีเรื่องราวหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อตอนตีสามของคืนวันพระใหญ่ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 26 ตุลาคม 2554  บุรุษผู้หนึ่งได้นั่งภาวนาสมาธิ แล้วต่อด้วยการนอนภาวนาต่อเนื่องจนหลับไป แล้วเกิดภาพนิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ครบทั้งห้าพระองค์  ท่านได้มาแสดงปริศนาธรรมแก่เขาหลายอย่าง โดยมีลำดับเหตุการณ์สำคัญดังนี้

      🔸 ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ขณะที่บุรุษผู้หนึ่งเดินท่องไป พลันได้แลเห็นพระเถระรูปหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ใจก็รู้ว่า คือ "พระฌาณียะเถระเจ้า" หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า" ท่านเรียกให้บุรุษผู้นี้เข้าไปหา พร้อมกับคายคำหมากทิ้งไว้ แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ท่านกลับหายตัวไป เหลือแต่เนินดินกองใหญ่กลายเป็นขี้เถ้า ประหนึ่งให้เขาพิจารณาว่า ทุกสิ่งล้วนไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้

     🔸 ต่อมา เขาจึงรีบเดินตามหาท่าน แต่กลับเห็นพระเถระอีกองค์หนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้าไวๆ ใจก็รู้ว่า คือ "พระภูริยะเถระเจ้า" หรือที่เรียกกันว่า "หลวงปู่หน้าปาน" ท่านได้เดินนำหน้า เขาจึงเดินตามท่านไปอย่างรวดเร็ว จนไปถึงกุฏิเล็กๆหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางป่า แล้วหลวงปู่ก็หายไป บุรุษผู้นี้จึงเดินอ้อมไปทางด้านข้างของกุฎี จึงได้พบกับพระอุปัฏฐากพระเถระรูปหนึ่ง ท่านพาเดินไปทางด้านหน้าของกุฎี แล้วจึงได้พบกับ "พระโสณเถระเจ้า"

      🔸 พระโสณเถระ ยืนรออยู่บนกุฏิ เมื่อได้พบกันแล้ว ท่านได้ถามบุรุษผู้นี้ว่า... "เธออยากรู้อะไร"...  เขายังไม่ทันได้ตอบคำถามของท่าน ทันใดนั้น ท่านก็ได้โยนพระรูปหนึ่งลงจากกุฏิมาที่บุรุษ เขาจึงต้องรีบรับร่างนั้นเอาไว้ พระองค์ที่ถูกโยนลงมานั้น กลับกลายเป็น "พระอุตรเถระเจ้า" ที่ร่างกายซีดเผือดและแข็งทื่อ เสมือนศพแช่แข็ง พระโสณเถระได้ถามบุรุษต่อไปว่า... "จะพิจารณาว่าอย่างไร"...  เขาตอบท่านไปว่า ... "พิจารณาอสุภะข้าน้อย"...  พระโสณเถระเมตตาบอกต่อไปว่า... "ให้พิจารณาอวิชชานะ"...  บุรุษผู้นี้จึงเอ่ยตามท่านว่า... "พิจารณาอวิชชา ข้าน้อย"...

      🔸 หลังจากนั้น บุรุษผู้นี้หันไปเห็นลูกศิษย์พระเถระ นั่งเฝ้าเรือลำเก่าที่วางอยู่ข้างกุฏิพระโสณเถระเจ้า เขาเชื้อเชิญให้บุรุษเข้าไปพิจารณา บุรุษจึงเข้าไปดูที่เรือ ในเรือนั้นมีหีบพระไตรปิฎกเก่าอยู่หีบหนึ่ง เขาพิจารณาว่า เรือนั้นเปรียบเสมือนพาหนะ ที่บรรทุกพระธรรมหรือพระไตรปิฎก เมื่อได้อาศัยนั่งเรือ (ศึกษาพระธรรม)ไปจนถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเอาเรือไปด้วย พระธรรมก็เช่นเดียวกัน เพราะพระธรรมเป็นของโลก  อย่างไรก็ตาม ขณะที่บุรุษผู้นี้ กำลังพิจารณาเรือและหีบพระไตรปิฎกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงปีติยินดีขึ้นมาว่า... "จะยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแบบนี้อยู่อีกหรือ"...

      🔸 หลังจากนั้น บุรุษผู้นี้ ได้เดินวนไปยังอีกสถานที่แห่งหนึ่ง จึงได้พบกับพระหนุ่มรูปหนึ่ง ท่านพาเขาเดินไปหาพระเถระอีกรูปหนึ่ง คือ "พระมุนียะเถระเจ้า" หรือที่รู้จักกันในอีกนามว่า "หลวงปู่อิเกสาโร" แล้วพระหนุ่มองค์ที่พาเขาไป พูดเป็นปริศนากับหลวงปู่ว่า "เหมือนกับกระผมตอนเป็นหนุ่มเมื่อสองร้อยกว่าปี" (คล้ายกันกับว่า ในยุคสมัยนั้น อดีตชาติของบุรุษผู้นี้ ก็เคยเกิดเป็นพระกัมมัฏฐาน เป็นพระสังฆราชา และเป็นผู้นำทำสังคายนาพระไตรปิฎก)

       🔸 หลังจากพระหนุ่มพูดจบลง หลวงปู่อิเกสาโร หันมามองบุรุษแล้วก็พูดว่า... "เออยังหนุ่มยังแน่น และเอาจริง เดี๋ยวจะสงเคราะห์นะ"... แล้วท่านก็พาบุรุษผู้นี้ ไปยังบริเวณข้างลำธาร ที่มีน้ำใสไหลเย็น เพื่อไปฝึกวิชากัมมัฏฐาน หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะจิตและกายของเขา เกิดปีติซาบซ่านไปทั้งตัว จนต้องลุกขึ้นมานั่งภาวนาต่อ พร้อมกับได้นำเอาธรรมนิมิตนั้น มาพิจารณา เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป

    🔸 ขอเจริญในธรรม
    🔸 ดร.นนต์ บันทึกแทนบุรุษผู้นั้น
    🔸 27 ตุลาคม 2554

     🍂 ขอขอบคุณเจ้าของภาพเขียน (ไม่ทราบที่มา)

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(350) โอวาทธรรม หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม




โอวาทธรรม หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม

ท่านทั้งหลาย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา ผมได้ไปรับพระมอสเพื่อเดินทางกลับวัดโคกปราสาท หลังจากที่ท่านได้เดินธุดงค์ไปกราบพระอุปัฏฌาจารย์เจ้า หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ณ วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ จึงมีโอกาสได้กราบและฟังธรรมหลวงปู่อย่างใกล้ชิด หลวงปู่มีเมตตาแสดงธรรมพอสรุปได้ว่า

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร? คนเราเกิดมามีหน้าที่อยู่สองอย่างคือ 1) เกิดมาทำหน้าที่เพื่อตัวเอง 2) เกิดมาทำหน้าที่เพื่อผู้อื่น จะทำงานการอาชีพอะไร ก็ขอให้ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หากเป็นองค์กรหรือหน่วยงาน ต่างคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เมื่อคนในองค์กรต่างช่วยกันขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ไม่ขัดขวางหรือถ่วงกัน องค์กรนั้นก็จะมีความเจริญ คนเราทำหน้าที่สองอย่างมิใช่จะสำเร็จได้ดีทั้งร้อยเปอร์เซ็น แต่ขอให้ได้อย่างละ 70-80 เปอร์เซ็นก็ดีแล้ว คนเราก็เหมือนกับเครื่องยนต์นั้นแหละ ทำงานก็เหมือนกลไก หากชิ้นส่วนชำรุดเสียหายไป เครื่องยนต์นั้นก็ทำงานไม่ได้ ทั้งระบบมันต้องไปด้วยกัน เกื้อกูลกัน

อนึ่ง... หากพิจารณาโอวาทธรรมของหลวงปู่ มีใจความดุจดังปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา ที่แสดงไว้ในวันปรินิพพาน ซึ่งมีใจความว่า....

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา 
พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด(อปปมาเทน สมปาเทต)

หลวงปู่เมตตาแสดงธรรมต่อไปว่า ทุกวันนี้คนคอรัปชั่นมีมาก ระบบราชการและการเมืองก็วุ่นวาย ใครได้อำนาจก็แก้ไขกฎระเบียบใหม่ให้พอใจแก่ตัวเอง ยุคใครยุคมัน มันเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย หากว่าของเก่าไม่ดีก็แก้ไขให้มันดี หากผู้มีอำนาจรู้จักนำเอาหลักการ "อนุโลม และปฏิโลม" มาใช้ คงลดความวุ่นวายไปได้มาก ข้าราชการหรือนักการเมือง หากใครรู้ตัวว่าตัวเองทำผิด ก็ยอมรับแล้วแก้ไขตัวเองใหม่ให้ถูกต้องเสีย ก็สามารถแต่งตั้งให้มาทำงานใหม่ ก็คงยอมรับกันได้ ผิดก็แก้ให้ถูก ถูกแล้วก็รักษาให้ดีต่อไป "บางครั้งถูกแบบทางโลก แต่ไม่ถูกทางธรรม" ก็อย่าไปทำ ถูกทางธรรมก็คือ ต้องมีความยุติธรรม บ้านเมืองถึงจะเจริญก้าวหน้า

นี่คือโอวาทธรรมของหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ที่นับว่าเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างดี ก็ลองพิจารณาตามท่านดูนะครับ

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอโอกาสหลวงปู่อธิบายเพิ่มเติมตามปัญญาที่มีอยู่ว่า โอวาทของหลวงปู่นี้ คงตอบปุจฉาของพระมอสที่ท่านถามพวกเรามาหลังจากที่ท่านได้ฟังธรรมหลวงปู่มาแล้ว ว่า  "เกิดมาเพื่ออะไร?"  จะว่าไปแล้ว วิสัชนานี้ คงเหมาะกับเรื่องทางโลก คือตอบผู้ที่ยังมีหน้าที่ทางโลกอยู่ แต่ปุจฉาจริงๆ ที่หลวงปู่ถามพระมอสก็คือ "บวชมาเพื่ออะไร?" วิสัชนาก็คงไม่ต่างจากทางโลกก็คือ 1) ทำหน้าที่เพื่อตัวเอง เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็มีหน้าที่เพียรละกิเลสของตัวเองให้หมดไป  2) ทำหน้าที่เพื่อผู้อื่น คือ หน้าที่การงานอะไรที่สงฆ์ควรทำในวัดก็ให้ช่วยกันทำ ทำแบบมีสติก็นับเป็นการฝึกสมาธิได้เช่นกัน และเมื่อมีธรรมแล้ว ก็เอาธรรมและบุญกุศลนั้นให้แก่ผู้อื่น อนุเคราะห์สงเคราะห์กันไปตามกำลังที่มี อันนี้ก็คงพอตอบคำถามของพระมอสในเรื่องทางธรรมได้ครับ

หมายเหตุ ผู้เขียนสรุปเรียบเรียงและตกแต่งคำใหม่ คำอาจไม่ตรงกับที่หลวงปู่แสดงมาทั้งหมด แต่ข้อความหลักยังอยู่มากที่สุด จึงขอขมากรรมต่อหลวงปู่ครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
20 พฤศจิกายน 2557


ดร.นนต์ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่หลวงปู่เหลือง เมื่อ 1 กันยายน 2555